เมื่อวันพุธที่ 11 มิถุนายน พ.ศ.2557 เวลา 09.00 น.
นายวิศรุต อินแหยม ผู้อำนวยการททท.สำนักงานสุพรรณบุรี พร้อมด้วยผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวและสื่อมวลชนจากจังหวัดสุพรรณบุรี อ่างทอง ชัยนาท ลพบุรี และสิงค์บุรี เดินทางสำรวจแหล่งท่องเที่ยวตามโครงการ “ส่งเสริมการท่องเที่ยวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)” สู่ภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย
เนื่องในปัจจุบันอัตราการขยายตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เพิ่มขึ้นตามตัวธุรกิจการค้าของประชาคมอาเซียนโดยรวม ซึ่งทำให้นักลงทุนต่างชาติที่จะพากันเดินทางเข้ามาแข่งขันในด้านการลงทุน อาจส่งผลต่อผู้ประกอบการท้องถิ่นที่ขาดทักษะ ประสบการณ์ และที่ต้องระวังเป็นอย่างยิ่งก็คือ การแย่งกันใช้ทรัพยากร อีกทั้งระบบสาธารณูปโภคที่เรามีอยู่ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเร่งหามาตรการรับมือกับปรากฏการณ์นี้ จึงจำเป็นต้องรีบสร้างภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการซึ่งกว่า 70% เป็นผู้ประกอบการรายย่อยที่ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรง แต่ขณะเดียวกันเราต้องเร่งแย่งชิงความได้เปรียบเสียก่อน ด้วยการชูจุดแข็งเรื่องธรรมชาติที่สวยงาม คนไทยใจดี มีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ มีประวัติศาสตร์น่าสนใจ
ททท.สำนักงานสุพรรณบุรี จึงได้จัดโครงการ “ส่งเสริมการท่องเที่ยวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)” สู่ภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ประกอบด้วย จังหวัดนครราชสีมา ขอนแก่น กาฬสินธุ์ และหนองคาย โดยมีผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวและสื่อมวลชนของจังหวัดสุพรรณบุรี อ่างทอง ชัยนาท ลพบุรี และสิงค์บุรี ร่วมเดินทางในครั้งนี้
โดยแหล่งท่องเที่ยวที่ได้ไปสำรวจ ประกอบด้วย บ้านธารประสาท อ.โนนสูง จ.นครราชสีมาแหล่งโบราณคดีที่เก่าแก่และมีความสำคัญ ที่มาของการพบแหล่งโบราณคดีแห่งนี้มีอยู่ว่า ช่วงปลายปี 2525 ได้มีผู้ลักลอบนำโบราณวัตถุยุคก่อนประวัติศาสตร์ไปวางจำหน่ายที่แหล่งซื้อขายของโบราณที่รู้จักกันดีในกรุงเทพฯ
กรมศิลปากรจึงเข้าไปตรวจสอบแล้วระบุว่าเป็นของเก่ายุคก่อนประวัติศาสตร์จริง ประกอบกับได้รับแจ้งจากพลเมืองดีที่บ้านธารปราสาทว่ามีกลุ่มคนลักลอบขุดค้นหาวัตถุโบราณที่บริเวณบ้านธารปราสาทใต้ กรมศิลปากรจึงแจ้งความดำเนินคดีต่อผู้ลักลอบขุดค้นได้สำเร็จ เพื่อเป็นการอนุรักษ์แหล่งโบราณคดี กรมศิลปากรจึงเข้าไปขุดค้น และพบหลักฐานของชุมชนสมัยก่อนประวัติศาสตร์จำนวนมาก แล้วพัฒนาให้เป็น Open-site Museum จวบจนทุกวันนี้
พิพิธภัณฑ์สิรินธร จังหวัดกาฬสินธุ์ เดิมคือศูนย์วิจัยไดโนเสาร์ภูกุ้มข้าว ซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 เพื่อเป็นสถานที่ปฏิบัติงานศึกษาวิจัย อนุรักษ์เก็บรวบรวมตัวอย่างอ้างอิงซากไดโนเสาร์และ สัตว์ร่วมสมัยและนำข้อมูลเหล่านี้ไปเผยแพร่แก่นักท่องเที่ยวในรูปของพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวปีละกว่า 2 -3 00 , 000 คน ซากดึกดำบรรพ์ของไดโนเสาร์ที่ภูกุ้มข้าว เป็นไดโนเสาร์กินพืชที่สมบูรณ์ที่สุดของประเทศไทย โดยพบกระดูกไดโนเสาร์เกือบทั้งตัว กองรวมอยู่กับกระดูกไดโนเสาร์กินพืชอีกชนิดหนึ่ง กระดูกทั้งหมดอยู่ในชั้นหินที่วางตัวอยู่บนไหล่เขาของภูกุ้มข้าวซึ่งมี รูปร่างคล้ายลอมฟาง มีความสูงประมาณ 240 เมตร ปัจจุบันกรมทรัพยากรธรณีได้ขุดค้นซากไดโนเสาร์พบกระดูกมากกว่า 700 ชิ้น เป็นกลุ่มของกระดูกส่วนขา สะโพก ซี่โครง คอ และหางของไดโนเสาร์กินพืชไม่น้อยกว่า 7 ตัว นอกจากนี้ยังพบฟันของไดโนเสาร์ทั้งกินพืช และกินเนื้ออีกอย่างละ 2 ชนิด จากลักษณะของกระดูกพบว่าเป็นไดโนเสาร์กินพืชสกุลภูเวียง “ ภูเวียงโกซอรัส สิรนธรเน (Phuwiagosaurus sirindhornae)” 1 ชนิด และเป็นไดโนเสาร์กินพืชชนิดใหม่อีก 1 ชนิด คาดว่าอาจเป็นไดโนเสาร์สกุลและชนิดใหม่ของโลก
หลวงพ่อพระใส วัดโพธิ์ชัย จ.หนองคาย เป็นพระพุทธรูปสำคัญคู่เมือง ประดิษฐานอยู่ที่วัดโพธิ์ชัย ซึ่งมีฐานะเป็นวัดอารามหลวง ตั้งอยู่ที่ถนนโพธิ์ชัย ในเขตเทศบาลเมือง ห่างจากตัวเมืองหนองคายไปประมาณ 2 กิโลเมตร ตามทาง หลวงหมายเลข 212 ทางไป อ.โพนพิสัย วัดจะอยู่ทางซ้ายมือ เป็นพระพุทธรูปขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย หล่อด้วยทองสีสุก หน้าตักกว้าง 2 คืบ 8 นิ้ว ส่วนสูงจากพระชงฆ์เบื้อล่างถึงยอดพระเกศ 4 คืบ 1 นิ้วของช่างไม้ ประวัติการสร้างสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานไว้ในหนังสือประวัติพระพุทธรูปสำคัญ ซึ่งพิมพ์แจกในงานทอดกฐินพระราชทาน พ.ศ. 2468 ว่า หลวงพ่อพระใส เป็นพระพุทธรูปหล่อในสมัยล้านช้าง และตามตำนานที่เล่าสืบต่อกันมาว่า พระธิดา 3 องค์ แห่งกษัตริย์ล้านช้างเป็นผู้สร้าง บางท่านก็ว่าเป็นพระราชธิดาของพระไชยเชษฐาธิราช ได้หล่อพระพุทธรูปขึ้น 3 องค์ และขนานนาม พระพุทธรูปตามนามของตนเองไว้ด้วยว่า พระเสริมประจำพี่ใหญ่ พระสุกประจำคนกลาง พระใสประจำน้องสุดท้อง มีขนาดลดหลั่นกันตามลำดับ
พระธาตุหนองคาย หรือพระธาตุกลางน้ำ หรืออีกชื่อ พระธาตุหล้าหนอง จ.หนองคาย เป็นพระธาตุที่มีขนาดใหญ่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง เนื่องจาก แม่น้ำเชี่ยวกรากจึงกัดเซาะตลิ่งจนพระธาตุพังลงในแม่น้ำ ทำให้พระธาตุจมอยู่กลางแม่น้ำโขงห่างจากฝั่งไทย 180 เมตร องค์พระธาตุก่อด้วยอิฐถือปูน ล้มตะแคงไปตามกระแสน้ำ ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ มีฐานเหลี่ยมมุมฉาก โดยด้านหนึ่ง โผล่ ขึ้นมาเหนือน้ำเพียงครึ่งฐาน องค์พระธาตุมีรูปทรงทางสถาปัตยกรรมเท่าที่ยังเหลืออยู่เป็นชั้นฐานเขียง 2 ชั้น ฐานสี่เหลี่ยม ย่อเก็จ ต่อขึ้นมาอีก 4 ชั้น จึงเป็นเรือนธาตุ ต่อด้วยบัวลูกแก้วอีก 2 ชั้น ความสูงของเจดีย์เฉพาะส่วนที่สัมผัสได้ 12.20 เมตร ความกว้างของ ฐานองค์พระธาตุชั้นล่างสุด 15.80 เมตร
โดยในครั้งนี้มีผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวและสื่อมวลชนเข้าร่วมเดินทางกว่า 30 คน